เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๖ พ.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเราปฏิบัติ เวลาชาวพุทธนี่เราอยากมีความสุข เราอยากประพฤติปฏิบัติ เวลาอากาศ นี่อากาศดีมาก เพราะมาตอนนี้แบบว่าฝนมันตก อากาศดี พออากาศดี อากาศมันเป็นฤดูกาล แล้วถ้าอากาศมันร้อนล่ะ? เห็นไหม มันเป็นธรรมชาติของมัน แต่เราจะมีที่หลบได้ไหม? ถ้าเรามีที่หลบ ดูสิเราสร้างที่อาศัย เราสร้างที่พัก เรามีที่หลบภัยไง

จิตของคนเราก็เหมือนกันนะ มันเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ นี่มันเป็นที่หลบภัยไหม? ดูเวลาสัตว์ เห็นไหม ดูอย่างสัตว์เขาอนุรักษ์มัน เพราะอะไร? เพราะกลัวมันสูญพันธุ์ เขาอนุรักษ์นะ เขาดูแลมันเพราะอายุมันสั้น อนุรักษ์ไว้ อนุรักษ์ไว้ ดูแลรักษามาก แล้วมันเป็นธรรมชาติของมันนะ

ดูนกดูกาสิ มันหาที่พึ่งที่อาศัยของมัน มันเป็นธรรมชาติของมันนะ โดยสัญชาตญาณของมัน เรามองมันนี่มีความสุขมาก มีความสุขเพราะอะไร? เพราะมันเกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติของมัน มันหาอยู่หากินของมันนะ สัตว์เวลามันจะทำร้ายกัน มันทำร้ายกันด้วยกำลังของมัน แต่มนุษย์น่ะ มนุษย์เวลาเกิดมานี่มีปัญญา ถ้าคนดี ดีมากๆ เลย ถ้าคนเลวก็เลวสุดๆ เลย

หัวใจของคนก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจมันดีนะ นี่มันเป็นความดีโดยธรรมชาติของมัน แต่ถ้าหัวใจมันเลวนะ มันเอารัดเอาเปรียบคนอื่นทั้งนั้นแหละ มันเอารัดเอาเปรียบไง เห็นไหม นี่จิตมันมีที่พึ่งอาศัยไหม? ถ้ามันมีที่พึ่งอาศัย นี่เวลาฤดูกาลเรามีที่หลบภัย เวลาหนาวขึ้นมาเรามีความอบอุ่นร่างกาย เราหลบภัยได้ เวลาฝนตกแดดออกเรามีที่หลบภัยได้

จิตของเราเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันมีที่หลบภัยของมันนะ มีที่หลบภัยนี่มันเป็นอนิจจัง ของมันชั่วคราวใช่ไหม เพราะมันเป็นที่หลบภัยไม่ใช่ความจริง แต่ถ้าเป็นความจริง จิตมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน ถ้าจิตมีหลักมีเกณฑ์ เห็นไหม นี่ธรรมะมันละเอียดเข้าไป เป็นชั้นๆ เข้าไป

“ความจริงมีหนึ่งเดียว”

ความเป็นจริงอันเดียวนี่แหละ สมาธิก็เป็นสมาธิอันเดียว ปัญญาก็เป็นปัญญาอันที่กว้างขวาง แต่มันเป็นสัมมาปัญญาอันเดียวกัน แต่ถ้ามันถึงที่สุด เห็นไหม จิตนี่มันโดนชำระล้างแล้วมันสะอาดบริสุทธิ์ สิ่งนี้มันชำระล้างได้

นี่ศาสนาสำคัญตรงนี้ แต่คนมองไม่เห็นไง คำว่ามองไม่เห็นมันเป็นสัจธรรมความจริงนะ แต่ความจริงเขามองกันด้วยแว่นตา เขามองกันด้วยภพ ด้วยโลกไง ด้วยโลก เห็นไหม ด้วยวิทยาศาสตร์ ด้วยความรู้ของตัว ด้วยปัญญาของตัว แว่นตาทั้งนั้นแหละ มันไม่ได้มองด้วยความเป็นจริง ถ้ามองด้วยความเป็นจริงเราถอดแว่นสิ เราถอดแว่น ถอดเรื่องของโลกออกไป

เรื่องของโลก เรื่องความเป็นไปของโลก แต่ความเป็นจริงของมันอีกอันหนึ่งนะ ถ้าความเป็นจริงอันนี้ อันนี้มันจะสงบสงัดเข้ามาได้อย่างไร? ถ้าจิตมันสงบ เห็นไหม นี่ถึงว่าธรรมะเหนือโลก โลกุตตรธรรม ธรรมที่เหนือโลก ธรรมที่แตกต่างจากโลก

แต่ธรรมที่แตกต่างจากโลก เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไป ครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นสัจจะความจริง เวลาเราฟังธรรมนี่เราฟังไม่เข้าใจ เห็นไหม ดูสิหลวงตาท่านบอกเลยนะ ท่านไปฟังเทศน์หลวงปู่มั่นครั้งแรก ท่านบอกเลยนะ “นี่เราฟังไม่รู้เรื่อง เราจบมาจนเป็นมหา เราเคยฟังเทศน์ของเจ้าฟ้า เจ้าคุณ สมเด็จพระสังฆราชก็เคยฟังมาแล้ว เข้าใจหมดเลย”

คำว่าเข้าใจหมดเลย เห็นไหม มันเป็นวิชาการ มันเป็นทางโลก เราฟังแล้วเราเข้าใจหมดเลย แต่มาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น นี่เคยฟังเทศน์ของครูบาอาจารย์ ของสมเด็จฯ ของต่างๆ ฟังเข้าใจหมดเลย แต่มาฟังธรรมของหลวงปู่มั่นทำไมไม่เข้าใจ นี่หาความเข้าใจไม่ได้ พอหาความเข้าใจมันต้องปรับใจของตัว พอปรับใจของตัว พออยู่กับหลวงปู่มั่น พอประพฤติปฏิบัติไป ฟังเทศน์ เห็นไหม นี่เวลาหลวงปู่มั่นท่านจะละขันธ์นะ หลวงตาท่านบอกเลย

“จิตดวงนี้มันดื้อ มันพยศ มันไม่ฟังใครหรอก แต่มันฟังแต่ครูบาอาจารย์ ฟังแต่หลวงปู่มั่นที่มีเหตุมีผล ที่เป็นสัจธรรมความจริง”

แล้วหลวงปู่มั่นก็ต้องมาละสังขารไปในคืนนี้ ท่านนั่งอยู่ปลายเท้า นั่งน้ำตาไหลทั้งคืนเลย เพราะอะไร? เพราะกว่าจะหาคนที่รู้จริง ช้างนี่กว่าจะหาควาญช้างได้ ควาญช้างที่ควบคุมช้างตัวนั้น แล้วยังไม่ถึงที่หมาย ควาญช้างนั้นต้องละขันธ์ไปก่อน ไปนั่งร้องไห้นะ

ท่านบอกเลยท่านเล่าตอนที่ท่านยังปกติ ท่านไม่พูดให้ใครฟัง แต่พอบอกว่าเวลาหลวงปู่มั่นละขันธ์แล้วพระมุงกันเต็มเลย พอพระออกไปหมดแล้วนะไม่มีใครอยู่แล้ว เหลือแต่ศพหลวงปู่มั่น ท่านมานั่งอยู่ที่นั่น แล้วก็นั่งน้ำตาไหลตลอดเวลา ตลอดเวลาเพราะอะไร? เพราะคนเรา เวลาจิตมันหมุนนี่มันทุกข์มันยากมาก มันต้องการคนชี้นำ แล้วคนชี้นำก็มาสิ้นใจไปต่อหน้า แล้วตัวเองยังต้องหาทางออกอยู่ คนไม่มีที่พึ่ง แล้วเปรียบถึงพระอานนท์สิ

พระอานนท์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน เห็นไหม พระอานนท์ไปเหนี่ยวกลอนประตู แล้วร้องไห้อยู่นั่น พระพุทธเจ้าถาม

“ภิกษุทั้งหลาย อานนท์ไปไหน?”

“อานนท์ไปเหนี่ยวกลอนประตูร้องไห้อยู่นั่นพระเจ้าค่ะ”

“ไปตามอานนท์มา ไปตามอานนท์มา”

“อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา แม้แต่เราก็ต้องนิพพานในคืนนี้ เธอเป็นผู้ที่ทำคุณประโยชน์เอาไว้มาก ผู้ที่อุปัฏฐากเรา ใครจะอุปัฏฐากได้ดีเท่ากับเธอไม่มีอีกแล้ว นี่อีก ๓ เดือนข้างหน้าจะมีสังคายนะ เธอจะเป็นพระอรหันต์ เธอจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์”

แต่พระอานนท์ด้วยความวิตกกังวล คนเรามันจะหาทางออก มันพยายามดิ้นรนอยู่ แล้วคนประพฤติปฏิบัติ ดูสิเวลาเราไม่เข้าใจสิ่งใด เราไม่รู้จักสิ่งใด เราจะงงไหม? เราจะหาทางออกไม่ได้เลย นี้พูดถึงทางวิชาการนะ ทางโลกที่ช่วยเหลือกันได้ แต่ถ้าเป็นหัวใจที่มันจะหาทางออกอยู่ ถ้ามันไม่มีใครรู้จริงชี้ทางไม่ได้หรอก ไปไหนมาสามวาสองศอก ถามอย่างหนึ่งก็ตอบอย่างหนึ่ง เพราะเขาไม่รู้ไม่เห็นของเขา

แล้วคนที่รู้คนที่เห็น เห็นไหม หลวงตาท่านเล่าให้ฟังนะ เวลาท่านจะเอาหลวงปู่มั่นออกจากหนองผือไปที่วัดป่าสุทธาวาส นี่เอามาพักไว้ที่บ้านภู่ ท่านเดินจงกรมอยู่ข้างล่าง คนนะเจ็บไข้ได้ป่วยขนาดนั้น ใกล้จะหมดอายุขัย หลวงตาท่านเดินจงกรมอยู่ พอมีปัญหาขึ้นมาท่านไปกราบเลย

ขนาดคนป่วยไข้อยู่ เวลาปกตินะร่างกายท่านก็บอบช้ำเต็มที่อยู่แล้ว เวลาหลวงตาขึ้นไปถามปั๊บ ท่านจะลุกขึ้นมาเลย แล้วจะตอบทันทีเลย ตอบฉับ ฉับ ฉับ เลย เข้าใจไหม! ถ้าไม่เข้าใจ หลวงตาท่านไม่เข้าใจท่านยังเฉยอยู่ ตอบอีก! ตอบอีก! ถ้าไม่เข้าใจท่านไม่ยอมขยับเขยื้อน แต่พอเข้าใจปั๊บกราบแล้วลงเลย

นี่คนเรานะเวลาสัจธรรม หัวใจมันรื่นเริงโดยธรรม เวลาลูกศิษย์ลูกหา ผู้ที่จะเห็นภัยในวัฏสงสาร กำลังจะออกจากวัฏสงสาร จะหาทางออกอยู่ เวลามีปัญหาขึ้นมา หัวใจภาวนาไปมันมีปัญหาขึ้นมา จะมากราบถามปัญหาเลย ท่านจะลุกขึ้นตอบ ผลัวะ! ผลัวะ! ผลัวะ! ทั้งๆ ที่คนเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่นะ ถ้าไม่มีปัญหาธรรมะท่านก็นอนของท่านนั่นแหละ แต่มีปัญหาธรรมะขึ้นมาท่านจะลุกขึ้นมา แล้วตอบทันทีเลย

“เข้าใจไหม! เข้าใจไหม! เข้าใจไหม!”

ถ้าไม่เข้าใจก็ตอบซ้ำ ตอบซ้ำ เห็นไหม แล้วเวลาท่านเทศน์อยู่ก่อนหน้านั้น

“นี่ภิกษุนะ หมู่คณะให้พิจารณาเข้านะ พิจารณาเข้านะ ผู้เฒ่านะอายุ ๘๐ ก็ตายแล้วนะ คนแก้จิตมันแก้ได้ยากนะ ผู้จะแก้จิตหาได้ยาก ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ”

คำว่าจะแก้จิต เวลาแก้จิต จิตมันมีความผิดอย่างไร? เวลาปฏิบัติขึ้นไปแล้วมันจะเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา ทำถูกต้องไหม? เพราะอะไร? เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา เห็นไหม ที่หลบภัยนะ ที่หลบภัยจากจิต ถ้ามันเป็นความจริงนะ มันเป็นความจริงของมัน แต่จิตเรามันยังไม่เป็นความจริง ความจริงเป็นไปไม่ได้เพราะมันมีอวิชชา มีตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ เราก็หลบภัยกับครูบาอาจารย์ของเรา

เราหลบภัย หาครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งที่อาศัย ที่คอยบอกคอยชี้แนะนะ แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันไม่ยอมรับหรอก มันจะหาว่าครูบาอาจารย์ดุมัน ว่ามัน มันทำให้เรานี้ด้อยกว่าคนอื่น มันจะด้อยไปไหน? คนที่ด้อยกว่าคนอื่นนะเขาไม่พูดถึงเลย ไม่พูดถึง เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประหารโดยการไม่พูดถึง เพราะพูดแล้วเขาไม่ฟัง เขาไม่รับรู้

แล้วคำพูดของเรานะ ดูสิมุมมองของแต่ละบุคคลในเรื่องต่างๆ มุมมองของคนไม่เหมือนกัน มันมุมมองต่างๆ แล้วมุมมองของธรรมะล่ะ? แล้วสัจจะความจริงที่เข้าไปถึงสัจจะความจริงล่ะ? สัจจะความจริงอันนั้นสำคัญมาก สัจจะความจริงอันนั้น อันนั้นมันอยู่ที่ไหน อันนั้นมันอยู่ในหัวใจของเรานะ

นี่เวลาสัตว์มันอยู่ตามธรรมชาติของมัน เห็นไหม วัฏฏะมันเป็นอย่างนี้ ธรรมชาติเป็นอย่างนี้ เราเห็นว่าเป็นสัตว์ เป็นสัตว์นะ เวลาพระโพธิสัตว์เป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม พระโพธิสัตว์เวียนตายเวียนเกิด เวลายังสร้างบารมีอยู่ จิตของเราก็เหมือนกัน เราเห็นแต่เขาเป็นสัตว์ เขาเป็นสัตว์แล้วเราเป็นมนุษย์นะ มนุษย์ทุกข์กว่าสัตว์อีก แต่ความเป็นมนุษย์มีสถานะดีกว่า ดีกว่าที่ว่าเรามีปัญญา เรามีความพยายาม ความมุมานะของเราที่เราจะพ้นจากกิเลสได้

สัตว์มันพ้นจากกิเลสไม่ได้ แต่สัตว์มันทำความดีความงามของมันได้ สัตว์มันเป็นหัวหน้าสัตว์ สัตว์มันเกื้อหนุนกัน สัตว์มันก็ทำดีได้นะแต่ดีของสัตว์ แต่ดีของมนุษย์ล่ะ? มนุษย์มันทุกข์มันยาก ดีของมนุษย์ เห็นไหม นี่ถ้าหัวใจมันมีความสุขของเรา เรานั่งอยู่ที่ไหนเราก็มีความสุขของเรา สัตว์นี่โดยสัญชาตญาณของมัน มันจะมีความสุขของมันนะ ความสุขของสัตว์ก็เล็กน้อย

ความสุขของเรานะ เวลาในเซนเขาถามปัญหากัน พระเซน ๒ องค์เขาเดินไปบนสะพาน เขาบอกว่านี่ปลามีความสุขมาก มันว่ายน้ำเล่นอยู่ แล้วพระอีกองค์หนึ่งถามว่า ท่านรู้ได้อย่างไรว่าปลามีความสุข ท่านรู้ได้อย่างไรว่าปลามีความสุข? ปลามันอยู่ในน้ำ มันว่ายน้ำของมัน มันมีความสุขของมัน แล้วเราเป็นปลาหรือ? เราไม่เป็น แต่โดยอนุมานเอา เราเห็นว่ามันว่ายน้ำ มันเล่นของมัน มันมีความสุขของมัน เห็นไหม เพราะมันอยู่โดยธรรมชาติของมัน

นี่เวลาพระเขาคุยกัน เขาคุยกันด้วยเหตุด้วยผล ด้วยเหตุด้วยผลนี่ย้อนกลับที่เรา เห็นไหม ว่าสัตว์มันมีความสุข มันมีความสุขโดยสัญชาตญาณ มีความสุขของมันประสามัน ดูของเรา เห็นไหม มนุษย์เรานี่เด็กมีความสุขอันหนึ่ง ถ้าเด็กมีความสุขอย่างนั้น โตขึ้นมามันจะทรงตัวของมันได้ไหม? มันจะอยู่ในสังคมได้ไหม? ถ้าผู้ใหญ่มีความสุขนี่มีความสุขอย่างไร?

มันไม่มีหรอก เห็นไหม ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ จิตมันต้องก้าวเดินไปข้างหน้า จิตนี้ไม่มีที่สุดนะ... จิตแก้จิต ถ้าจิตยังแก้จิตไม่ได้ จิตยังต้องเวียนตายเวียนเกิดโดยธรรมชาติของมัน ของอย่างนี้มีอยู่โดยธรรมชาติของมัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารู้แจ้ง มาเห็นสภาวะของมันเท่านั้นเอง

แต่จิตของเราถ้าไม่ถึงที่สุดมันก็จะเวียนตายเวียนเกิดไปในวัฏฏะ ถ้าถึงที่สุดมันหมด เห็นไหม นี่มีที่พึ่ง พึ่งจากภายนอก พึ่งจากการเกิดในภพ ในวัฏฏะ วัฏฏะเป็นที่พึ่งอันหนึ่ง เป็นที่หลบภัย แล้วถ้าเกิดธรรมะเป็นที่หลบภัย มีครูบาอาจารย์เป็นที่หลบภัย มีศีล สมาธิ ปัญญา เป็นที่หลบภัย มีสมาธิขึ้นมาก็มีความสุข ความพอใจหนหนึ่ง มีปัญญาขึ้นมามันแก้ไขความหมองใจ ความเศร้าใจ นี่มันรื่นเริงอาจหาญชั่วคราวหนหนึ่ง แต่กิเลสที่ละเอียดกว่ามันก็สร้างปมขึ้นมาให้มีความทุกข์อีก เห็นไหม

นี่หลบภัยเป็นคราวๆ ไป จนถึงที่สุดสมุจเฉทปหานขาดสิ้นไปจากกิเลส อันนี้เป็นความจริง ความจริงอันนี้มีหนึ่งเดียว เป็นสัจจะความจริงที่มีในหัวใจเรา แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปมันยากไหม? ยาก การกระทำนี่ชนะตนเองยากมาก เพราะอนุสัยมันนอนเนื่อง กิเลสมันนอนเนื่องมากับใจ มันมากับความคิด มันมากับการกระทำ มันมากับความรู้สึก มันมากับความสุข

ความสุขที่เรามีสุขอยู่นี่ อนุสัยมันนอนเนื่องมาเพราะมันพอใจ ซักประเดี๋ยวปั๊บพอความสุขนี้มันเจือจางไป มันดีดดิ้น มันทำลายเราแล้ว ความสุขอย่างไรก็แล้วแต่มันเป็นอนิจจัง เห็นไหม สิ่งที่ว่าเป็นสุขๆ นี่สุขทางโลก ถ้าสุขเป็นความจริง งานละเอียดอย่างนี้เราจะประพฤติปฏิบัติอย่างไรให้ถึงที่สุดได้

มีศาสนานะ เราเชื่อในศาสนา แล้วเรามีโอกาส ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เป็นความจริงขึ้นมากับใจของเรา สติ สมาธิ ปัญญา ทำให้เกิดขึ้นมาจริงกับในใจของเรา ไม่ใช่ว่านกแก้ว นกขุนทอง ท่องได้ ศึกษาได้ วิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่ไม่เป็นความจริง มันเป็นความจำ ไม่เป็นความจริงจากใจขึ้นมา

ถ้าเป็นความจริงจากใจขึ้นมา แล้วสะสมทะนุถนอมมัน จนถึงที่สุดมันมีกำลังขึ้นมา มันจะเป็นจริงขึ้นมา มันจะเป็นความมหัศจรรย์ขึ้นมา สันทิฏฐิโก เห็นไหม รู้จำเพาะตนในหัวใจ ศาสนานี่รู้จำเพาะตน รู้จริงอันนี้ นี่จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งจะเป็นประโยชน์มหาศาลเลย

แต่ถ้ามันไม่รู้ มันเป็นเรื่องโลก เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่เป็นทฤษฎี เป็นการวิจัยต่างๆ มันก็พูดกันปากเปียกปากแฉะแต่เข้าใจได้ เข้าใจได้เพราะกิเลสมันละเอียดกว่าที่มันหมกอยู่ในหัวใจ มันพอใจของมัน แล้วมันพูดของมัน แล้วกิเลสก็รับแล้วเข้าใจเหมือนกัน แต่ถ้าธรรมะมันรับนะ มันซึ้งใจกว่านั้นหลายร้อยหลายพันเท่า แล้วมันจะเป็นความจริงในหัวใจของเรา จะเป็นประโยชน์กับเรานะ เอวัง